ความสำคัญ
ความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าพรรษา
1.ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา
ดังนั้นการกำหนดให้ภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ
ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย
ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
2.หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน
ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
3.เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง
และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึง
วันออกพรรษา
4.เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช
อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
5.เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น
การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม
งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา
ประเภทของการเข้าพรรษาของพระสงฆ์
การเข้าพรรษาตามพระวินัยแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ
การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
(สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน
จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง)
จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน
ก็มีสิทธิที่จะรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 12
ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง
ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย
ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ
เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี
ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน
แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น